- 5 อันดับโรคยอดฮิตชีวิตคนเมือง

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ปัจจุบันนี้ มนุษย์เริ่มหันกลับมาสนใจลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ในการบำบัดโรค หรือรับประทานเป็นอาหารหรืออาหารเสริมเพื่อเป็นผลดีต่อสุขภาพ สำหรับมนุษย์งาน เกือบทั้งหมดของชีวิตมีแต่คำว่า "งาน ประชุม อีเมล์ ลูกค้า" คงไม่ผิดหรอกที่หลายคนภาคภูมิใจกับความสำเร็จของงานที่เกิดจากความทุ่มเทของตัวเอง แต่อย่าลืมว่าแม้ใจยังสู้ แต่ร่างกายเราไม่ใช่เครื่องจักรย่อมมีวันที่เหนื่อยและอ่อนล้า ถ้ามัวแต่เลือกงานแล้วมองข้ามตัวเอง เชื่อแน่ว่าร่างกายไปก่อนแน่ ๆ แต่ถ้ายังอยากสนุกกับงานไปได้อีกนานก็ลองให้เวลาตัวเองสักนิดหันกลับมาสำรวจความผิดปกติของร่างกายจะได้รู้ว่าร่างกายของเราส่งสัญญาณเตือนภัยแล้วให้หันมาใส่ใจดูแลตัวเองได้แล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข

5 อันดับโรคยอดฮิต เกาะติดชีวิตคนเมือง ได้แก่ :-
1. "ไมเกรน" โรคปวดศรีษะเรื้อรัง คุณเคยรู้สึกไหมว่าเวลานั่งทำงานเครียด เราจะรู้สึกปวดหัวบริเวณขมับด้านหน้าศรีษะหรือหลังต้นคอ นั่นคือ สัญญาณเตือนให้คุณรู้ล่วงหน้าว่า สภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรค "ไมเกรน" ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอจนจับตัวเป็นก้อนที่เรียกว่าจุด "Trigger Point" และจุดดังกล่าวไปกดทับบริเวณเส้นเลือดที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงศีรษะทำให้เส้นเลือดหลังจุด "Trigger Point" เกิดการขยายตัวผิดปกติส่งผลให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ไม่เพียงพอจึงทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น นอกจากนี้แสงแดดความร้อนการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และการขาดฮอร์โมนบางชนิดก็เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิด "ไม่เกรน" ได้เช่นกัน "ไมเกรน" มักจะพบในช่วงอายุ 10-50ปี อัตราเฉลี่ยเพศหญิงร้อยล่ะ 18 และเพศชายร้อยละ 6 วิธีการดูแลให้ห่างไกลจาก "ไมเกรน" ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่อากาศถ่ายเท ไม่ร้อนจนเกินไป บริหารกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอให้มีการยืดหยุ่นอยู่เสมอเพื่อเลี่ยงการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ เปลี่ยนอิริยาบทในการนั่งทำงานเพื่อลดการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อ หรือปรึกษาแพทย์อายุรเวท (แผนไทยประยุกต์) เพื่อทำการกดจุดสลาย "Trigger Point" บริเวณกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย


2. สภาะเสียสมดุล ปกติร่างกายของมนุษย์ถูกออกแบบขึ้นเพื่อรองรับภาวะรบกวนต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมพร้อมขจัดและปรับระบบให้สามารถทำงานได้อย่างปกติมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมี "สมอง" เป็นจุดศูนย์รวมของการทำงานของร่างกาย "สมอง" จะทำหน้าที่ออกคำสั่งและส่งคำสั่งนั้นไปตามเส้นประสาทเพื่อไปควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายทุกระบบ รวมทั้งกล้ามเนื้อและข้อต่อต่าง ๆ ซึ่งระบบรากประสาททั้งหมดออกมาตามแนวกระดูกสันหลัง แต่หากแนวกระดูกสันหลังเสียสมดุลไม่อยู่ในแนวความโค้งที่ปกติ เช่น ค่อม งอ คด แอ่น โดยมีสาเหตุหลักมาจากการนั่งทำงานในออฟฟิศที่ผิดวิธี หรือทำงานในลักษณะซ้ำ ๆ ตลอดทั้งวันทำให้กล้ามเนื้อทนไม่ไหว ร่างกายก็จะฟ้องออกมาในรูปแบบของความเจ็บปวดต่าง ๆ เช่น ปวดหลังเรื้อรัง ปวดคอ ชาหรือแขนขาไม่มีแรงเป็นต้น ในระยะแรกอาจไม่แสดงผลอย่างชัดเจน แต่ถ้าละเลยอาจรุนแรงถึงขั้นทับเส้นประสาท อาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ หรือแม้แต่ส่งผลให้เป็นโรคภัย, ระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ผิดปกติได้ด้วย การดูแลและป้องกันนั้นมีวิธีง่าย ๆ ทำได้ด้วยต้นเองทุกวัน โดยคืนความสมดุลให้กับโครงสร้างร่างกายเช่น การยืดหยุ่นร่างกายไม่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป เพื่อลดอัตราการเกร็งกล้ามเนื้อ หรือไม่ทำให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักมากเกินไป หรือเพิ่มการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลัง ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อเพราะกล้ามเนื้อเป็นตัวยึดให้กระดูกอยู่ในแนวปกติถือเป็นการคงสภาพให้โครงสร้างร่างกายอยู่ในภาวะที่สมดุลเป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถทำการปรึกษากับนักกายภาพบำบัดเพื่อทำการปรับโครงสร้างร่างกายพร้อมปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินไลฟ์สไตล์ใหม่ได้เช่นกัน
3. กระดูกสันหลังคดงอ "อาการปวดหลังเรื้อรัง"
หนุ่มสาวออฟฟิศสมัยใหม่ที่ทำงานนั่งอยู่กับโต๊ะใช้ชีวิตคร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบวันละ 8 ชั่วโมง ใส่รองเท้าส้นสูงบ่อย ๆ เคยลองสังเกตไหมว่าร่างกายสะสมความอ่อนเพลียและเมื่อยล้าไว้มากขนาดไหน และรู้หรือเปล่าว่านั่นคือสาเหตุเริ่มต้นของโรคปวดหลังเรื้อรัง ซึ่งโดยค่าเฉลี่ย 80% มักจะเคยมีอาการปวดหลังสักครั้งในชีวิต และกว่า 20% จะพบว่ามีอาการปวดหลังแบบเรื้อรังมาจาก "กระดูกสันหลังคดงอ" วิธีการรักษาที่นิยมทำกันโดยทั่วไปในปัจจุบันมีอยู่ 2 วิธี คือการรักษาด้วยการให้ยาและกายภาพบำบัดแบบ Passive ซึ่งช่วยลดอาการปวดได้ดี แต่ไม่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างพอเพียง ที่จะป้องกันอาการปวดซ้ำซากในอนาคตได้ ส่วนวิธีการรักษาแบบ "Active Rehabilitation" นั้น เป็นแนวทางใหม่ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ เป็นที่ยอมรับกันว่าสามารถระงับปัญหาอาการปวดเรื้อรังได้อย่างถาวรดีกว่าการรักษาแบบเดิม ๆ และการออกกำลังกายที่เน้นตรงกล้ามเนื้อในส่วนที่มีัปัญหา โดยออกแบบโปรแกรมให้เข้ากับเฉพาะตัวบุคคลและมีผู้ดูแลควบคุมใกล้ชิดนั้นได้ผลดีกว่าการออกกำลังกายตามลำพังตัวคนเดียวอย่างชัดเจน

4. ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ อีกโรคที่้คุกคามอย่างเงียบ ๆ คงจะหนีไม่พ้น "ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ" หรือ "Carpal Tunnel Syndrome (CTS)" ที่กำลัง ขยายวงกว้างในกลุ่มคนที่ต้องนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ โดยสาเหตุหลักเกิดจากการใช้ข้อมือในการยึดจับสิ่งของ หรือเม้าส์คอมพิวเตอร์ในท่าเดิม ๆ เป็นระยะเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบและเกิดพังผืดยึดจับบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก หรืออาจเกิดจากการทำงานของเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณผ่านท่อนแขนจากข้อศอกไปยังบริเวณข้อมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เกิดอาการปวดของปลายประสาท หรือเส้นเอ็นบริเวณต้นคอเกิดการอักเสบนั้นก็เกิดจากสาเหตุเดียวกัน

ทั้งนี้ หากอยากห่างไกลความเสี่ยงควรเลือกวิธีปฎิบัติง่าย ๆ ในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณมือและข้อมือทุก 15-20 นาที แต่ในกรณีที่มีอาการอักเสบรุนแรงควรปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันการเกิดภาวะการณ์บาดเจ็บที่รุนแรงและลดอัตราการผ่าตัดลง


5. "หูดับ" โรคประสาทหูเสื่อม
อีกหนึ่งภัยคุกคามที่คนเมืองควรรู้กับปัญหา "หูดับ" หรือโรคประสาทหูเสื่อม ซึ่งส่วนมากเกิดจากปัจจัยหลายสาเหตุ อาทิ กรรมพันธุ์ โรคบางชนิดหรือปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกเป็นต้น ส่งผลให้ระดับการได้ยินเสียงลดลงโดยปกติประสาทหูจะเริ่มเสื่อมทีละน้อย ๆ ในช่วงอายุประมาณ 30-50 ปีขึ้นไป แต่ในปัจจุบันความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในไลฟ์สไตล์ของคนเมืองมากขึ้น สังเกตได้จากค่านิยมในการใช้มิวสิคโฟนผ่านทางมือถือและเครื่อง MP3 การใช้โทรศัพท์มือถือนาน ๆ ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อมได้

แม้ว่าทั้้งหมดนี้คือ 5 อันดับโรคยอดฮิตสำหรับคนทำงาน แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีโรคภัยอีกมากมายที่คืบคลานเข้ามาหาตัวเรา ถ้าเรายังเลือกทำแต่งานแล้วมองข้ามสุขภาพตัวเอง ดังนั้นเราควรใส่ใจตัวเองและหาความสมดุลให้กับชีวิตกันดีกว่า


0 ความคิดเห็น: